House บ้านเป็นหลัง
- garage โรงรถ
- stairs บันได
- hall โถงหน้าบันได
- yard สนามหญ้า
- balcony , ระเบียง
- porch ชานบ้านมีหลังคา โดยมากใช้กับบริเวณทางเข้า
- garden สวน
- pool สระน้ำ
Apartment , Condominium ห้องชุด
ถามว่า
What's it like? ห้องเป็นยังไงบ้าง
It's really beautiful มันสวยจริงๆเลย
how many rooms does it have? มีกี่ห้อง
well it has a bedroom , a bathroom, a kitchen and a big closet in the hall มีห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัวและมีตู้ใหญ่ที่โถงด้วย
Where is it? แล้วห้องอยู่แถวไหนหละ
It's on prayathai road. อยู่ที่ถนนพญาไท
Does it have balcony?มีระเบียงหรือเปล่า
Yes. and it has a great view of night scene too. มี และวิวกลางคืนที่ยอดเยี่ยมด้วย
ของใช้ในบ้าน
TV television ทีวี , DVD Player เครื่องเล่น DVD , Armchair เก้าอี้มีที่เท้าแขน , chair เก้าอี้ , Sofa เก้าอี้นั่งหลายคนมีที่เท้าแขน , bookcase ตู้หนังสือ , bookshelf ชั้นวางหนังสือ , bed เตียง , clock นาฬิกา , table โต๊ะ , mirror กระจก , dresser ตู้มีลิ้นชักใส่เสื้อผ้า , coffee table โต๊ะเตี้ยๆ , stove เตาอบมีความร้อนออกนอกเตาด้วย , curtains ม่าน , desk โต๊ะทำงาน , refrigerator ตู้เย็น , oven เตาอบ , rug พรม , lamp โคมไฟ
there is a Tv in the living room มีทีวีในห้องนั่งเล่น
I don't have table in the kitchen ผมไม่มีโต๊ะในห้องครัว
there aren't any computers in my house บ้านผมไม่มีคอม
there's no sofa in the bedroom. ไม่มีโซฟาในห้องนอน
there isn't a lamp in the bathroom. ไม่มีโคมไฟในห้องน้ำ
วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
วางแผน บอกเล่ากิจวัตร
เมื่อต้องการ บอกเล่าเรื่องราวของเราเกี่ยวกับ แผนที่วางไว้ว่าจะทำอะไรตอนวันหยุดที่จะมาถึง หรือปกติวันธรรมดาเราทำอะไรบ้างในแต่ละวันและหลังเลิกงาน
ประโยคเหล่านี้ก็จะใช้ simple present tense และ simple future tense ซึ่งจะใช้ verb ช่อง 1
ตัวอย่างประโยค
My family and I live in Samutprakan. My wife works nears here,so she drives to her office. I work in bangkok. I take the bus to the city. Our son rides his bike to school,but our daughter doesn't go to school yet.
ครอบครัวของผลและตัวผม ใช้ชีวิตในจังหวัดสมุทรปราการ
ภรรยาของผมทำงานอยู่ใกล้ๆนี้ เธอจึง ขับรถไปที่สำนักงานของเธอ
ผมทำงานในกรุงเทพ
ผมขึ้นรถประจำทางไปในเมือง
ลูกชายของเรา ขึ่จักรยานไปโรงเรียน
แต่ลูกสาวของเรายังไม่ต้องไปโรงเรียน
สังเกตุว่าการบอกเล่าทั่วไปเราก็ใช้ V1 โดยอาจมีเปลี่ยนรูปตามประธานเอกพจน์/พหูพจน์
ตัวอย่างชวนไปเที่ยว วันอาทิตย์
Wasurak : Let's go to the park on Sunday
Karusaw : OK, but let's not go early.I sleep late on weekends.
Wasurak : What time do you get up on Sundays?
Karusaw : At 10 o'clock.
Wasurak : Oh, that isn't very late. I get up at noon.
Karusaw : Do you eat breakfast then?
Wasurak : Sure. I have breakfast every day.
Karusaw : Then let's meet at Harry's Restaurant at one o'clock.They serve breakfast all day on Sundays for people like us.
วันใช้ on เช่น on monday, on weekend,on sunday
ช่วงเวลาใช้ in เช่น in the morning , in the afternoon , in the evening. ยกเว้น night ใช้ at night
ถ้าเป็นบอกเวลาตรงไปเลย ใช้ at เช่น at nine o'clock , at noon เป็นต้น
ถ้าประมาณประมาณ ใช้ by เช่น by 8:30
ตัวอย่างประโยค เล่าเรื่องเราการใช้เวลาในวันหยุด
I design websites for small companies.I'm self-employed,So I work at home.I get up at 6:30 and go for a run before breakfast.I'm at my computer by 8:00, and I work until 6:00. Around 1 o'clock,I take a lunch break,and I surf the net to look at other websites. I work hard sometimes I work all night to finish a project.But I never work on weekends.
ประโยคเหล่านี้ก็จะใช้ simple present tense และ simple future tense ซึ่งจะใช้ verb ช่อง 1
ตัวอย่างประโยค
My family and I live in Samutprakan. My wife works nears here,so she drives to her office. I work in bangkok. I take the bus to the city. Our son rides his bike to school,but our daughter doesn't go to school yet.
ครอบครัวของผลและตัวผม ใช้ชีวิตในจังหวัดสมุทรปราการ
ภรรยาของผมทำงานอยู่ใกล้ๆนี้ เธอจึง ขับรถไปที่สำนักงานของเธอ
ผมทำงานในกรุงเทพ
ผมขึ้นรถประจำทางไปในเมือง
ลูกชายของเรา ขึ่จักรยานไปโรงเรียน
แต่ลูกสาวของเรายังไม่ต้องไปโรงเรียน
สังเกตุว่าการบอกเล่าทั่วไปเราก็ใช้ V1 โดยอาจมีเปลี่ยนรูปตามประธานเอกพจน์/พหูพจน์
ตัวอย่างชวนไปเที่ยว วันอาทิตย์
Wasurak : Let's go to the park on Sunday
Karusaw : OK, but let's not go early.I sleep late on weekends.
Wasurak : What time do you get up on Sundays?
Karusaw : At 10 o'clock.
Wasurak : Oh, that isn't very late. I get up at noon.
Karusaw : Do you eat breakfast then?
Wasurak : Sure. I have breakfast every day.
Karusaw : Then let's meet at Harry's Restaurant at one o'clock.They serve breakfast all day on Sundays for people like us.
วันใช้ on เช่น on monday, on weekend,on sunday
ช่วงเวลาใช้ in เช่น in the morning , in the afternoon , in the evening. ยกเว้น night ใช้ at night
ถ้าเป็นบอกเวลาตรงไปเลย ใช้ at เช่น at nine o'clock , at noon เป็นต้น
ถ้าประมาณประมาณ ใช้ by เช่น by 8:30
ตัวอย่างประโยค เล่าเรื่องเราการใช้เวลาในวันหยุด
I design websites for small companies.I'm self-employed,So I work at home.I get up at 6:30 and go for a run before breakfast.I'm at my computer by 8:00, and I work until 6:00. Around 1 o'clock,I take a lunch break,and I surf the net to look at other websites. I work hard sometimes I work all night to finish a project.But I never work on weekends.
วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552
เดินทาง ที่อยู่ ที่ทำงาน ครอบครัว เพื่อนฝูง
เมื่อเราต้องการพูดถึงบุคคลที่3เอกพจน์ (He She it) ในภาษาอังกฤษจะต้องเปลี่ยนรูปของกิริยาให้เข้ากันด้วย
โดยทั่วไปเราจะเติม s ไป เช่น
She Takes the bus. เธอขึ้นรถบัส
He sits เขานั่ง
It walks to the garden. มันเดินไปที่สวน
She studies at university. เธอเรียนที่มหาวิทยาลัย (ดูหลักการเปลี่ยนรูปอย่างละเีอียดได้ที่ Spelling Rule)
He says Bye-Bye เขากล่าวอำลา
สถานที่ต่างๆ
Down town ใจกลางเมือง - Suburbs ชานเมือง - Houses เขตบ้าน - Apartment บ้านเช่า - Country ชนบท - Stores แหล่งร้านค้า
Ferry Terminal ท่าเรือ - Bus station สถานีรถประจำทาง - taxi stand ที่จอดรับส่งของรถแท๊กซี่ - Subway Station สถานีรถใต้ดิน - Train Station สถานีรถไฟ
school โรงเรียน - university มหาวิทยาลัย - collage วิทยาลัย - institute สถาบัน
Wife ภรรยา - husband สามี - son ลูกชาย - daughter ลูกสาว - brother พี่ชาย/น้อยชาย - sister พี่สาว/น้องสาว - parent พ่อหรือแม่/ผู้เลี้ยงดู - พ่อและแม่- children ลูกๆ
การใ้ช้ Do,does ,don't , doesn't
เป็นกิริยาช่วย จะใช้เมื่อ ไม่มีกิริยาช่วยตัวอื่นเช่น is am are have has ในประโยค และต้องการใช้ประโยคคำถาม ประโยคปฏิเสธ หรือต้องการเน้นกิริยาหลัก
ตัวอย่าง
I walk to school ผมเดินไปโรงเรียน(ประโยคบอกเล่าธรรมดาไม่ต้องใช้กิริยาช่วย)
I don't (do not) walk to school ผมไม่ได้เดินไปโรงเรียน ( เมื่อเป็นประโยคปฏิเสธ เราจะเพิ่ม do not /does not เข้าไป )
I do walk to school ผมเดินไปโรงเรียน (เน้นว่าเดินจริงๆ)
How do you go to school? คุณไปโรงเรียนยังไง ( เมื่อเป็นประโยคคำถามที่ไม่ใช้ Who Whom เราจะต้องเพิ่ม do /does เข้าไป หน้าประธานของประโยคด้วยยกเว้น กิริยาหลักของประโยคจะ is/am/are/was/were )
What time do you go to school? คุณไปโรงเรียนเวลาอะไร
When do you Shop? คุณไปซื้อของเมื่อไหร่
He works near hear เขาทำงานใกล้ๆนี้
He doesn't work near hear เขาไม่ได้ทำงานใกล้ๆนี้ ( สังเกตุว่าเมื่อใช้doesn't แล้ว กิริยาหลัก จะเป็นรูปปกติ ไม่ต้องเปลี่ยนรูปตามประธานที่เป็นเอกพจน์ )
Does he love me? เขารักฉันหรือเปล่า
* ประโยคที่มีคำว่า What When How why Where Who ขึ้นต้นไม่จำเป็นต้องเป็นประโยคคำถามเสมอไป
What I like about you is your money. สิ่งที่ผมชอบในตัวคุณก็คือเงินของคุณ
Who I love is you. คนที่ผมชอบก็คือคุณ
Where She often goes are Jewelry Markets ที่ที่เธอชอบไปก็คือตลาดเพชรพลอย
โดยทั่วไปเราจะเติม s ไป เช่น
She Takes the bus. เธอขึ้นรถบัส
He sits เขานั่ง
It walks to the garden. มันเดินไปที่สวน
She studies at university. เธอเรียนที่มหาวิทยาลัย (ดูหลักการเปลี่ยนรูปอย่างละเีอียดได้ที่ Spelling Rule)
He says Bye-Bye เขากล่าวอำลา
สถานที่ต่างๆ
Down town ใจกลางเมือง - Suburbs ชานเมือง - Houses เขตบ้าน - Apartment บ้านเช่า - Country ชนบท - Stores แหล่งร้านค้า
Ferry Terminal ท่าเรือ - Bus station สถานีรถประจำทาง - taxi stand ที่จอดรับส่งของรถแท๊กซี่ - Subway Station สถานีรถใต้ดิน - Train Station สถานีรถไฟ
school โรงเรียน - university มหาวิทยาลัย - collage วิทยาลัย - institute สถาบัน
Wife ภรรยา - husband สามี - son ลูกชาย - daughter ลูกสาว - brother พี่ชาย/น้อยชาย - sister พี่สาว/น้องสาว - parent พ่อหรือแม่/ผู้เลี้ยงดู - พ่อและแม่- children ลูกๆ
การใ้ช้ Do,does ,don't , doesn't
เป็นกิริยาช่วย จะใช้เมื่อ ไม่มีกิริยาช่วยตัวอื่นเช่น is am are have has ในประโยค และต้องการใช้ประโยคคำถาม ประโยคปฏิเสธ หรือต้องการเน้นกิริยาหลัก
ตัวอย่าง
I walk to school ผมเดินไปโรงเรียน(ประโยคบอกเล่าธรรมดาไม่ต้องใช้กิริยาช่วย)
I don't (do not) walk to school ผมไม่ได้เดินไปโรงเรียน ( เมื่อเป็นประโยคปฏิเสธ เราจะเพิ่ม do not /does not เข้าไป )
I do walk to school ผมเดินไปโรงเรียน (เน้นว่าเดินจริงๆ)
How do you go to school? คุณไปโรงเรียนยังไง ( เมื่อเป็นประโยคคำถามที่ไม่ใช้ Who Whom เราจะต้องเพิ่ม do /does เข้าไป หน้าประธานของประโยคด้วยยกเว้น กิริยาหลักของประโยคจะ is/am/are/was/were )
What time do you go to school? คุณไปโรงเรียนเวลาอะไร
When do you Shop? คุณไปซื้อของเมื่อไหร่
He works near hear เขาทำงานใกล้ๆนี้
He doesn't work near hear เขาไม่ได้ทำงานใกล้ๆนี้ ( สังเกตุว่าเมื่อใช้doesn't แล้ว กิริยาหลัก จะเป็นรูปปกติ ไม่ต้องเปลี่ยนรูปตามประธานที่เป็นเอกพจน์ )
Does he love me? เขารักฉันหรือเปล่า
* ประโยคที่มีคำว่า What When How why Where Who ขึ้นต้นไม่จำเป็นต้องเป็นประโยคคำถามเสมอไป
What I like about you is your money. สิ่งที่ผมชอบในตัวคุณก็คือเงินของคุณ
Who I love is you. คนที่ผมชอบก็คือคุณ
Where She often goes are Jewelry Markets ที่ที่เธอชอบไปก็คือตลาดเพชรพลอย
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552
เวลา - กิจกรรมต่างๆ
เวลาสนทนาทางโทรศัพท์หรือ net อีกฝ่ายอาจจะอยู่ต่างประเทศ
เราถามได้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน
Where are you now? อยู่ที่ไหน
What time is it there? ที่นั่นเวลาเท่าไหร่
ในภาษาอังกฤษก็เรียกเวลาขณะนึงได้หลายแบบเหมือนของไทย
เวลา 1:05 นาฬิกา = it's one o five at night.
เวลา 5:00 นาฬิกา = it's five o'clock in the morning แปลตรงตัวว่า" นาฬิกาวงกลมเลข 5 ในตอนเช้า" หรือ it's 5 a.m.
เวลา 7:15 นาฬิกา = a quarter past seven in the morning (เลย7 โมงเช้า ไป 1ในสี่ ของชั่วโมง) หรือ it's seven fifteen in the morning หรือ it's seven fifteen a.m.
เวลา 12:00 นาฬิกา = It's noon หรือ It's twelve o'clock หรือ it's 12:00 p.m.
เวลา 16:30 นาฬิกา = It's four thirty in the afternoon. หรือ it's half past four in the afternoon หรือ it's four thirty p.m. หรือ it's thirty minutes past four in the afternoon.
เวลา 19:55 นาฬิกา = It's 5 to 9 in the evening. หรือ it's 5 minutes before 9 in the evening.
เวลา 00:00 นาฬิกา = it's twelve o'clock at night. หรือ it's midnight.
การใช้ [past หรือ after (ผ่าน...นั้นไปแล้ว...)] กับ [to หรือ before (อีก...จะถึงเวลา...)] เราจะใช้ past/after กับเศษของชั่วโมงเมื่อเศษนั้นไม่เกิน 30 นาที ถ้าเกินจะใช้ to/before เมื่อเศษของชั่วโมงเกิน 30 นาที (นิยมใช้ past และ to มากกว่า after และ before)
คำว่า o'clock จะใช้เมื่อเวลาเป็นจำนวนเต็มชั่วโมงและควรบอกด้วยว่าช่วงเข้าสายบ่ายเย็นหรือกลางคืน
in the morning ช่วงเช้า,in the afternoon ช่วงบ่าย , in the evening ช่วงเย็น , at night ตอนกลางคืน
* สังเกตุว่าตัวอื่นๆ ยกเว้นตอนกลางคืน จะเป็น in the ... แต่ตอนกลางคืนจะเป็น at night
* คำบอกนาที minutes ละได้ตลอด
* a.m มาจากภาษา Latin "Ante Meridiem" แปลตรงตัวว่าก่อนเที่ยง ส่วน p.m. มาจาก "Post Meridiem" แปลว่าหลังเที่ยง
**ที่มักสับสนกันก็คือ เวลา เที่ยงคืน ถึง ตีหนึ่งของอีกวัน
โดยเที่ยงวันโดยมากจะใช้ 12.00 p.m. วันที่ไม่มีปัญหา
ส่วนเที่ยงคืนจะใช้ 12.00 a.m. โดยวันที่นับเอาเที่ยงวันของวันรุ่งขึ้นนั้น(ก่อนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น)
ส่วนเวลาหลังเที่ยงคืนจนถึงตีหนึ่ง นิยมใช้กัน 2 แบบ คือ
00.15 อันนี้วันที่ต้องเป็นของวันที่ของวันใหม่
แต่ถ้าใช้ 24.15 ต้องใช้วันที่ของวันเก่า(นิยมมากกว่า)
ดังนั้นเวลา 00.30 ของวันที่ 25 ธันวาคม สามารถเรียกอีกอย่างว่า 24:30 ของวันที่ 24 ธันวาคม
การถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ โดยมาใช้ทางโทรศัพท์
What are you doing? คุณกำลังทำอะไร
I'm working. กำลังทำงานครับ
what's Mary doing? แมรี่กำลังทำอะไร
It's 6.00 p.m. , so she is eating dinner right now. ตอนนี้ 6 โมงเย็นแล้ว ตอนนี้เธอกำลังกินข้าอยู่
กิจกรรมต่างๆ
play tennis เล่นเทนนิส - ride a bike ขี่จักรยาน - run วิ่ง - swim ว่ายน้ำ - take a walk เดิน - dance เต้น - drive ขับรถ - shop ซื้อของ - read อ่านหนังสือ - study เรียน - watch TV ดูโทรทัศน์
What are you doing? ทำอะไรอยู่
I'm driving. กำลังขับรถ
เราถามได้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน
Where are you now? อยู่ที่ไหน
What time is it there? ที่นั่นเวลาเท่าไหร่
ในภาษาอังกฤษก็เรียกเวลาขณะนึงได้หลายแบบเหมือนของไทย
เวลา 1:05 นาฬิกา = it's one o five at night.
เวลา 5:00 นาฬิกา = it's five o'clock in the morning แปลตรงตัวว่า" นาฬิกาวงกลมเลข 5 ในตอนเช้า" หรือ it's 5 a.m.
เวลา 7:15 นาฬิกา = a quarter past seven in the morning (เลย7 โมงเช้า ไป 1ในสี่ ของชั่วโมง) หรือ it's seven fifteen in the morning หรือ it's seven fifteen a.m.
เวลา 12:00 นาฬิกา = It's noon หรือ It's twelve o'clock หรือ it's 12:00 p.m.
เวลา 16:30 นาฬิกา = It's four thirty in the afternoon. หรือ it's half past four in the afternoon หรือ it's four thirty p.m. หรือ it's thirty minutes past four in the afternoon.
เวลา 19:55 นาฬิกา = It's 5 to 9 in the evening. หรือ it's 5 minutes before 9 in the evening.
เวลา 00:00 นาฬิกา = it's twelve o'clock at night. หรือ it's midnight.
การใช้ [past หรือ after (ผ่าน...นั้นไปแล้ว...)] กับ [to หรือ before (อีก...จะถึงเวลา...)] เราจะใช้ past/after กับเศษของชั่วโมงเมื่อเศษนั้นไม่เกิน 30 นาที ถ้าเกินจะใช้ to/before เมื่อเศษของชั่วโมงเกิน 30 นาที (นิยมใช้ past และ to มากกว่า after และ before)
คำว่า o'clock จะใช้เมื่อเวลาเป็นจำนวนเต็มชั่วโมงและควรบอกด้วยว่าช่วงเข้าสายบ่ายเย็นหรือกลางคืน
in the morning ช่วงเช้า,in the afternoon ช่วงบ่าย , in the evening ช่วงเย็น , at night ตอนกลางคืน
* สังเกตุว่าตัวอื่นๆ ยกเว้นตอนกลางคืน จะเป็น in the ... แต่ตอนกลางคืนจะเป็น at night
* คำบอกนาที minutes ละได้ตลอด
* a.m มาจากภาษา Latin "Ante Meridiem" แปลตรงตัวว่าก่อนเที่ยง ส่วน p.m. มาจาก "Post Meridiem" แปลว่าหลังเที่ยง
**ที่มักสับสนกันก็คือ เวลา เที่ยงคืน ถึง ตีหนึ่งของอีกวัน
โดยเที่ยงวันโดยมากจะใช้ 12.00 p.m. วันที่ไม่มีปัญหา
ส่วนเที่ยงคืนจะใช้ 12.00 a.m. โดยวันที่นับเอาเที่ยงวันของวันรุ่งขึ้นนั้น(ก่อนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น)
ส่วนเวลาหลังเที่ยงคืนจนถึงตีหนึ่ง นิยมใช้กัน 2 แบบ คือ
00.15 อันนี้วันที่ต้องเป็นของวันที่ของวันใหม่
แต่ถ้าใช้ 24.15 ต้องใช้วันที่ของวันเก่า(นิยมมากกว่า)
ดังนั้นเวลา 00.30 ของวันที่ 25 ธันวาคม สามารถเรียกอีกอย่างว่า 24:30 ของวันที่ 24 ธันวาคม
การถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ โดยมาใช้ทางโทรศัพท์
What are you doing? คุณกำลังทำอะไร
I'm working. กำลังทำงานครับ
what's Mary doing? แมรี่กำลังทำอะไร
It's 6.00 p.m. , so she is eating dinner right now. ตอนนี้ 6 โมงเย็นแล้ว ตอนนี้เธอกำลังกินข้าอยู่
กิจกรรมต่างๆ
play tennis เล่นเทนนิส - ride a bike ขี่จักรยาน - run วิ่ง - swim ว่ายน้ำ - take a walk เดิน - dance เต้น - drive ขับรถ - shop ซื้อของ - read อ่านหนังสือ - study เรียน - watch TV ดูโทรทัศน์
What are you doing? ทำอะไรอยู่
I'm driving. กำลังขับรถ
วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
เครื่องแต่งกาย ฤดู
Shirt เสื้อเชิ๊ต - tie / necktie เนคไท - belt เข็มขัด - Jacket เสื้อสวมทับแขนยาว - Coat ชุดสวมทับ - shoes รองเท้า - pants กางเกงขายาว - raincoat ชุดสวมทับกันฝน - Heel / High Heel รองเท้าส้นสูง - skirt กระโปรง - blouse เสื้อเชิ๊ตผู้หญิง - scarf ผ้าพันคน - hat หมวก - cap หมวกแก็ป - T-shirt เสื้อยืด - Sweater เสื้อไหมพรม - Jeans กางเกงยีนส์ - Gloves ถุงมือ - Boots รองเท้าบูท - shorts กางเกงขาสั้น - socks ถุงเท้า - sneakers รองเท้าผ้าใบ - pajamas ชุดนอน - swimsuits ชุดว่ายน้ำ - dress ชุดยาวผู้หญิง - sandal / flip-flop รองเท้่าแตะ
สี
white ขาว - light gray เทาอ่อน - gray เทา - dark gray เทาเข้ม - black ดำ
beige เบส / #F5F5DC - brown น้ำตาล - yellow เหลือง - red แดง - pink ชมพู - orange ส้ม - purple ม่วง
คำแสดงการเป็นเจ้าของ
I -> my
you -> your
he -> his
she -> her
we -> our
they -> their
Are our clothes dry? ชุดของพวกเราแห้งหรือยัง
Yes, they are แห้งแล้ว
Are Tony's and Mary's clothes OK? ชุดของแมรี่และโทนี่โอเคไหม
No, their clothes aren't ok. ชุดของพวกเขายังไม่แห้ง
What's Tony's Favorite Color? สีโปรดของโทนี่สีอะไร?
His Favorite color is Black. สีโปรดของเขาคือสีดำ
Is this Tony's shirt? เสื้อนี้ขอโทนี่หรือเปล่า?
no,it's not his shirt. ไม่,มันไม่ใช่เสื้อของเขา
ฤดู
winter ฤดูหนาว - summer ฤดูร้อน - spring ฤดูใบไม้ผลิ - fall ฤดูใบไม้ร่วง
What season is it now? ตอนนี้ฤดูอะไร?
It's winter ฤดูหนาว
in summer the weather is sunny, hot and humid
in Fall the weather in bangkok is cool , cloundy and windy.
in winter. it's snowing.it's very cold.
in spring. it's raining. It's warm.
What's the matter? เกิดอะไรขึ้นเนี่ย
It's Raining ฝนตกแฮะ
OK let take a taxi โอเคงั้นไปแท๊กซี่
OK.
Present continuous
I'm wearing boots but i'm not wearing a coat. ตอนนี้ผมใส่รองเท้าบูทอยู่แต่ไม่ได้ใส่เสื้อโคท
It's Raining ตอนนี้ฝนตก
We're wearing black suit. พวกเราใส่สูทดำอยู่
Are you wearing a black suit? ตอนนี้คุณใส่เสื้อดำอยู่หรือเปล่า
Yes,I am ใช่แล้วครับ
สรุป present Continuous สามารถใช้ Present แทนได้เลย แต่ที่ใช้ Continuous ก็เพื่อเน้นว่ากำลังทำอยู่เลย ไม่งั้นก็จะดูเป็นเรื่องบอกเล่าทั่วไป หรือทำเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว
สี
white ขาว - light gray เทาอ่อน - gray เทา - dark gray เทาเข้ม - black ดำ
beige เบส / #F5F5DC - brown น้ำตาล - yellow เหลือง - red แดง - pink ชมพู - orange ส้ม - purple ม่วง
คำแสดงการเป็นเจ้าของ
I -> my
you -> your
he -> his
she -> her
we -> our
they -> their
Are our clothes dry? ชุดของพวกเราแห้งหรือยัง
Yes, they are แห้งแล้ว
Are Tony's and Mary's clothes OK? ชุดของแมรี่และโทนี่โอเคไหม
No, their clothes aren't ok. ชุดของพวกเขายังไม่แห้ง
What's Tony's Favorite Color? สีโปรดของโทนี่สีอะไร?
His Favorite color is Black. สีโปรดของเขาคือสีดำ
Is this Tony's shirt? เสื้อนี้ขอโทนี่หรือเปล่า?
no,it's not his shirt. ไม่,มันไม่ใช่เสื้อของเขา
ฤดู
winter ฤดูหนาว - summer ฤดูร้อน - spring ฤดูใบไม้ผลิ - fall ฤดูใบไม้ร่วง
What season is it now? ตอนนี้ฤดูอะไร?
It's winter ฤดูหนาว
in summer the weather is sunny, hot and humid
in Fall the weather in bangkok is cool , cloundy and windy.
in winter. it's snowing.it's very cold.
in spring. it's raining. It's warm.
What's the matter? เกิดอะไรขึ้นเนี่ย
It's Raining ฝนตกแฮะ
OK let take a taxi โอเคงั้นไปแท๊กซี่
OK.
Present continuous
I'm wearing boots but i'm not wearing a coat. ตอนนี้ผมใส่รองเท้าบูทอยู่แต่ไม่ได้ใส่เสื้อโคท
It's Raining ตอนนี้ฝนตก
We're wearing black suit. พวกเราใส่สูทดำอยู่
Are you wearing a black suit? ตอนนี้คุณใส่เสื้อดำอยู่หรือเปล่า
Yes,I am ใช่แล้วครับ
สรุป present Continuous สามารถใช้ Present แทนได้เลย แต่ที่ใช้ Continuous ก็เพื่อเน้นว่ากำลังทำอยู่เลย ไม่งั้นก็จะดูเป็นเรื่องบอกเล่าทั่วไป หรือทำเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว
วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
คุณมาจากไหนครับ
เมื่อพบกันเราสามารถถามว่าเค้ามาจากประเทศ หรือ จังหวัด อะไร
A: Where are you from? คุณมาจากไหน(สถานที่)?
B: I'm from Thailand. ผมมาจากประเทศไทย
A: Are you from Bangkok? มาจากกรุงเทพหรือเปล่า?
B: No,I'm not I'm from kra-bi. But my family are from Trang originally. ไม่ครับ ผมมาจากกระบี่ แต่จริงๆครอบครัวมาจากตรังครับ
ประโยคคำถามด้วย verb to be
Is Tony first language French ? ภาษาแรกของโทนี่คือภาษาฝรั่งเศสหรือเปล่า?
No,it's not.It's English. ไม่ใช่ เป็นอังกฤษหนะ.
Are your parents in the U.S. ? พ่อแม่คุณอยู่ในสหรัฐหรือเปล่า?
Yes,They are.but I'm in Europe. ใช่แล้ว แต่ผมอยู่ในยุโรป
ถามถึงคนหรือสิ่งที่ไม่รู้จัก
A: Who's that? คนนั้นใครหนะ
B: She's my sister. น้องสาวผมเอง
A: What's her name? แล้วชื่ออะไร?
A: How old is she? อายุเท่าไหร่
B : She's Tem.She's 21 years old. ชื่อเต็ม อายุ 21
A: What's she like ? แล้วน้องนายเป็นยังไงบ้างหนะ
B : She's nice and very funny.
Pretty สวย - serious จริงจัง - shy ขี้อาย - smart หัวไว - funny สนุกสนาน - tall สูง - short เตี้ย - thin ผอม - heavy อ้วน - handsome หล่อ - friendly เป็นมิตร - nice นิสัยดี - cute น่ารัก - beautiful งดงาม
คำถาม WH+Verb to be
Who ถามถึงคน
what ถามถึงชื่อ/ประเภทสิ่งของ
how ถามถึงค่าตัวเลข วิธีการ
Where ถามถึงสถานที่
when ถามถึงเวลา
What' Bangkok like ? กรุงเทพเป็นแบบไหน
it's beautiful. มันงดงาม
What's your name ? ชื่อของคุณคืออะไร?
my name is wasurak. ชื่อของผมคือ วสุรักษ์
Who are they ? พวกเขาเป็นใคร?
they are detectives. พวกเขาเป็นนักสืบ
Where are they from? พวกเขามาจากไหน ?
Tokyo โตเกียว
How are you ? คุณเป็นยังไงบ้าง?
Fine, Thank you. สบายดี ขอบคุณครับ
How old is he ? เขาอายุเท่าไหร่?
He's 41. เขา 41 แล้ว
A: Where are you from? คุณมาจากไหน(สถานที่)?
B: I'm from Thailand. ผมมาจากประเทศไทย
A: Are you from Bangkok? มาจากกรุงเทพหรือเปล่า?
B: No,I'm not I'm from kra-bi. But my family are from Trang originally. ไม่ครับ ผมมาจากกระบี่ แต่จริงๆครอบครัวมาจากตรังครับ
ประโยคคำถามด้วย verb to be
Is Tony first language French ? ภาษาแรกของโทนี่คือภาษาฝรั่งเศสหรือเปล่า?
No,it's not.It's English. ไม่ใช่ เป็นอังกฤษหนะ.
Are your parents in the U.S. ? พ่อแม่คุณอยู่ในสหรัฐหรือเปล่า?
Yes,They are.but I'm in Europe. ใช่แล้ว แต่ผมอยู่ในยุโรป
ถามถึงคนหรือสิ่งที่ไม่รู้จัก
A: Who's that? คนนั้นใครหนะ
B: She's my sister. น้องสาวผมเอง
A: What's her name? แล้วชื่ออะไร?
A: How old is she? อายุเท่าไหร่
B : She's Tem.She's 21 years old. ชื่อเต็ม อายุ 21
A: What's she like ? แล้วน้องนายเป็นยังไงบ้างหนะ
B : She's nice and very funny.
Pretty สวย - serious จริงจัง - shy ขี้อาย - smart หัวไว - funny สนุกสนาน - tall สูง - short เตี้ย - thin ผอม - heavy อ้วน - handsome หล่อ - friendly เป็นมิตร - nice นิสัยดี - cute น่ารัก - beautiful งดงาม
คำถาม WH+Verb to be
Who ถามถึงคน
what ถามถึงชื่อ/ประเภทสิ่งของ
how ถามถึงค่าตัวเลข วิธีการ
Where ถามถึงสถานที่
when ถามถึงเวลา
What' Bangkok like ? กรุงเทพเป็นแบบไหน
it's beautiful. มันงดงาม
What's your name ? ชื่อของคุณคืออะไร?
my name is wasurak. ชื่อของผมคือ วสุรักษ์
Who are they ? พวกเขาเป็นใคร?
they are detectives. พวกเขาเป็นนักสืบ
Where are they from? พวกเขามาจากไหน ?
Tokyo โตเกียว
How are you ? คุณเป็นยังไงบ้าง?
Fine, Thank you. สบายดี ขอบคุณครับ
How old is he ? เขาอายุเท่าไหร่?
He's 41. เขา 41 แล้ว
วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
สิ่งของต่างๆ Article
สิ่งของต่างๆ
ภาษาอังกฤษ เวลาพูดถึงสิ่งของจะมีตัวบอกด้วยว่าสิ่งที่พูดถึงเป็น อันเดียว(เอกพจน์) หรือหลายอัน (พหูพจน์)
หลักคือถ้าเป็นเอกพจน์คือเป็นสิ่งที่นับเป็นอันๆไม่ได้ เช่น
เวลาถามสิ่งต่างๆว่าสิ่งนั้นคืออะไร ถ้าอยู่ใกล้ๆ
What's this? อันนี้(เอกพจน์)คืออะไร? What's that ? อันนั้น(เอกพจน์)คืออะไร?
it's a camera กล้องครับ/ค่ะ
ถ้าของอยู่ไกลออกไป
What's these? พวกนี้(พหูพจน์)คืออะไร What's those ? พวกนั้น(พหูพจน์)คืออะไร
they 're earrings ตุ้มหูครับ/ค่ะ
เวลาเราทำสิ่งต่างๆให้คนอื่นแล้วคนนั้นขอบคุณเรา
Thank you ขอบคุณครับ/ค่ะ
เราตอบด้วย
You're welcome ด้วยความยินดีครับ/ค่ะ
เมื่อเราไปเที่ยวต่างประเทศแต่ไม่รู้ว่าของที่เราเห็นเรียกว่าอะไร
A : What are these called in English? ของพวกนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไรครับ/ค่ะ
B : I don't know ไม่รู้ครับ/ค่ะ
A : What's that called in English? สิ่งนั้นภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไรครับ/ค่ะ
B : It's an Umbrella มันคือ Umbrella (ร่ม)
A : How Do you Spell that? สะกดยังไงครับ
B : U-M-B-R-E-L-L-A
เวลาถามว่าอยู่อะไรที่ไหนใช้ Where + verb to be
A: Where are my car keys? กุญแจรถของฉันอยู่ไหนหว่า
B: Umm. Are they in your pocket? เออ อยู่ในกระเป๋าเธอหรือเปล่า
A: No ,they're not. ไม่อยู่
C: Are these your keys? นึ่ใช่กุญแจของคุณหรือเปล่าครับ
A: Yes,they are. thank you. ใช่ครับ ขอบคุณครับ
A: Is my ticket in your purse? ตั๋วของฉันอยู่ในกระเป๋าสตางค์คุณหรือเปล่า?
B: No,they're not. It's in your car ไม่อยู่ ตั๋วอยู่ในรถคุณไง
preposition;
in ข้างใน
in front of ข้างหน้า
behind ข้างหลัง
on ข้างบน
next to ข้างข้าง
under ข้างใต้
ภาษาอังกฤษ เวลาพูดถึงสิ่งของจะมีตัวบอกด้วยว่าสิ่งที่พูดถึงเป็น อันเดียว(เอกพจน์) หรือหลายอัน (พหูพจน์)
หลักคือถ้าเป็นเอกพจน์คือเป็นสิ่งที่นับเป็นอันๆไม่ได้ เช่น
เวลาถามสิ่งต่างๆว่าสิ่งนั้นคืออะไร ถ้าอยู่ใกล้ๆ
What's this? อันนี้(เอกพจน์)คืออะไร? What's that ? อันนั้น(เอกพจน์)คืออะไร?
it's a camera กล้องครับ/ค่ะ
ถ้าของอยู่ไกลออกไป
What's these? พวกนี้(พหูพจน์)คืออะไร What's those ? พวกนั้น(พหูพจน์)คืออะไร
they 're earrings ตุ้มหูครับ/ค่ะ
เวลาเราทำสิ่งต่างๆให้คนอื่นแล้วคนนั้นขอบคุณเรา
Thank you ขอบคุณครับ/ค่ะ
เราตอบด้วย
You're welcome ด้วยความยินดีครับ/ค่ะ
เมื่อเราไปเที่ยวต่างประเทศแต่ไม่รู้ว่าของที่เราเห็นเรียกว่าอะไร
A : What are these called in English? ของพวกนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไรครับ/ค่ะ
B : I don't know ไม่รู้ครับ/ค่ะ
A : What's that called in English? สิ่งนั้นภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไรครับ/ค่ะ
B : It's an Umbrella มันคือ Umbrella (ร่ม)
A : How Do you Spell that? สะกดยังไงครับ
B : U-M-B-R-E-L-L-A
เวลาถามว่าอยู่อะไรที่ไหนใช้ Where + verb to be
A: Where are my car keys? กุญแจรถของฉันอยู่ไหนหว่า
B: Umm. Are they in your pocket? เออ อยู่ในกระเป๋าเธอหรือเปล่า
A: No ,they're not. ไม่อยู่
C: Are these your keys? นึ่ใช่กุญแจของคุณหรือเปล่าครับ
A: Yes,they are. thank you. ใช่ครับ ขอบคุณครับ
A: Is my ticket in your purse? ตั๋วของฉันอยู่ในกระเป๋าสตางค์คุณหรือเปล่า?
B: No,they're not. It's in your car ไม่อยู่ ตั๋วอยู่ในรถคุณไง
preposition;
in ข้างใน
in front of ข้างหน้า
behind ข้างหลัง
on ข้างบน
next to ข้างข้าง
under ข้างใต้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)